เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อปีทีแล้วได้จองตั๋ว แอร์เอเชีย สายการบินเจ้าประจำราคาถูกของผมได้ออกโปรโมชั่นตั๋วร าคา 0 บาท ทำให้ผมมือสั่นทำตัวไม่ถูกสมองได้แต่สั่งการว่า “รีบจอง รีบจอง” ได้ปรึกษากับไกด์ชาญว่าไปไหนดี ได้รับคำตอบว่า “ไปพม่า” สรุปว่าเราจะไปพม่าก็ได้ทำการจองตั๋วเครื่องบินจาก ภูเก็ต – กรุงเทพ – ย่างกุ้งไป-กลับ รวมเบ็ดเสร็จราคา 1,900 บาท ถูกกกกกกกกก โอ๊วแม่เจ้า (ถูกกว่ากินร้านเริงจิต หลาว)
เวลาผ่านไป 1 ปี
ก่อนถึงวันเดินทาง 1 อาทิตย์ ผมทำวีซ่าไปพม่าเสร็จเรียบร้อย คนใกล้ชิดผมบอกว่า พม่าไม่สามารถเปิดโรมมิ่ง โทรศัพท์จากประเทศไทยได้ หรือแม้แต่ประเทศอื่นก็ไม่สามารถใช้ได้เลย ซวยหล่ะสิเราจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ตลอดเวลาในการทำธุ รกิจเลยจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนการเดินทาง… จากพม่า ไปเชียงใหม่ – เชียงราย – แม่สาย -ท่าขี้เหล็ก พม่าแต่สุดท้ายแล้วผมก็ได้ไปพม่าอย่างที่ตั้งใจไว้แต่ตอน แรก อิอิ…… ไว้ติดตามดูได้ ณ.. บัด Now…
รูปนี้ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าผมได้มาถึงพม่าแล้ว ได้ลิ้มรสชาดเบียร์พม่า… บอกได้เลยครับว่า รสชาติไม่ได้เรื่องเลย อิอิสู้เบียร์ลีโอบ้านเราไม่ได้เลย
เราออกเดินทางจากภูเก็ตไฟล์สุดท้ายของคืนวันที่ 5 มีนา ไปถึงสุวรรณภูมิเที่ยงคืนกว่าๆ เราได้พักอาศัยกันที่ โรงแรมสุวรรณภูมิ โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ราคา แพงที่สุดในโลก สร้างนานที่สุดในโลก อิอิแล้วก็ราคาห้องพักถูกที่สุดในโลก (เพราะไม่ต้องเสียเงิน)
เช้าวันรุ่งขึ้นเราได้แยกกับพวกที่ไปพม่า ส่วนผมหลังจากที่หาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเพื่อไปเชีย งใหม่ก็นั่งรถเมล์ไปยังสถานีขนส่งหมอชิต เพื่อซื้อตั๋วรถทัวร์จาก กทม – เชียงใหม่ เราเลือกบริษัทรถทัวร์ นครชัยแอร์ เพราะได้ยินมานานแล้วว่าเป็นรถทัวร์ที่สบายที่สุดในประเทศไทยเราเลือกรถประเภทแบบ First Class VIP 24 ที่นั่ง สามารถดูรายละเอียดรถที่ http://www.nca.co.th/firstclass.php ราคาค่าตั๋วประมาณ 806 บาท ผมบอกได้เลยครับว่ารถคันนี้สุดยอดมาก มีจอทีวีหลังที่นั่งมีหนังให้ดู มีเพลงให้ฟัง มีเกมส์ให้เล่น และที่สำคัญเบาะที่นั่งมีระบบนวดไฟฟ้าด้วย โอ๊ววววแม่เจ้าสุดยอดจริงๆ นั่งสบายกว่า นั่งเครื่องบินของแอร์เอเชีย อีก
แล้วเราก็มาถึงเชียงใหม่ตอนเช้าแล้วผมก็เช่ามอเตอร์ไซต์ตะลุยเที่ยวเชียงใหม่ เริ่มด้วยไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพ
ที่เชียงใหม่ไปที่ไหนก็เจอแต่วัด วัดแต่ล่ะวัดสวยๆ สถาปัตยกรรมเป็นแบบล้านนา ทั้งนั้นวัดสวนดอก หรือ วัดบุปผาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ปัจจุบันตั้งอยู่บนถนนสุเทพ ตำบลสุเทพอำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
วัดสวนดอกในอดีตนั้นป็นสวนดอกไม้ (ต้นพยอม) ของเจ้านายฝ่ายเหนือใน ราชวงศ์เม็งราย โดยในปี พ.ศ. 1914 (ศักราชนี้ถือตามหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ของพระรัตนปั ญญาเกตุ) พระเจ้ากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่ง ราชวงศ์เม็งราย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดสวนดอกเป็น “พระอารามหลวง” เพื่อให้เป็นที่จำพรรษาของ”พระมหาเถระสุมน” ผู้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ในแผ่นดินล้านนา และสร้างองค์พระเจดีย์เพื่อประดิษฐาน “พระบรมสารีริกธาตุ” 1 ใน 2 องค์ ที่ “พระมหาเถระสุมน” อัญเชิญมาจากสุโขทัย ในปี พ.ศ. 1912 (องค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ในพระเจดีย์ ใน วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร)ในสมัย ราชวงศ์เม็งราย วัดสวนดอกมีความเจริญรุ่งเรืองมาก แต่หลังจากสิ้น ราชวงศ์เม็งราย บ้านเมืองตกอยู่ในอำนาจพม่า ทั้งเกิดจลาจลวุ่นวาย วัดนี้จึงกลายสภาพเป็นวัดร้างไป วัดสวนดอก ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่อีกครั้ง ในรัชสมัย พระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ แห่ง ราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน) และวัดสวนดอกได้รับการทำนุบำรุงจาก เจ้านายฝ่ายเหนือ และประชาชนเชียงใหม่มาโดยตลอด
วัดสวนดอก ได้รับการบูรณะครั้งสำคัญ 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2540 พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญรวบรวมพระอัฐิ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ และ พระประยูรญาติ มาประดิษฐานรวมกัน และต่อมาอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2475 วัดสวนดอกได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระวิหารโดย ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา
วัดมณเฑียร เป็นวัดที่มีประวัติที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเ ชียงใหม่ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๙๗๔ เดิมชื่อ “วัดราชมณเฑียร”เพราะพระเจ้าติโลกราชและพระมหาเทวี กษัตริย์ผู้เป็นมหาราชองค์สำคัญสมัยราชวงศ์มังราย ทรงโปรดเกล้าให้รื้อเอาพระตำหนักหอราชมณเฑียรส่วนพระ องค์หลังหนึ่งมาสร้างเป็นวัดเพื่อถวายแด่ พระมหาญาณคัมภีร์มหาเถระและคณะ จึงพระราชทานนามว่า “วัดราชมณเฑียร” ต่อมา เรียกว่า “วัดมณเฑียร” วัดมณเฑียรนี้นับว่าเป็นวัดแรกที่พระเจ้าติโลกราชได้ สร้างขึ้นในรัชสมัยที่พระองค์ทรงครองราชาภิเษกเป็นพร ะเจ้าแผ่นดินเชียงใหม่
องค์ประประธานเป็นองค์ทรงเครื่องศิลปะทางพม่านิยม
วัดเจดีย์หลวงวรวิหารเป็นวัดเก่าแก่ในจังหวัดเชียงให ม่ มีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ ราชกุฏาคาร วัดโชติการาม สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์ลำดับที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย ไม่ปรากฏปีที่สร้างแน่ชัด สันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้น่าจะสร้างในปี พ.ศ. 1934 วัดเจดีย์หลวงเป็นพระอารามหลวงแบบโบราณ มีการบูรณะมาหลายสมัย โดยเฉพาะพระเจดีย์ ที่ปัจจุบันมีขนาดความกว้างด้านละ 60 เมตร เป็นองค์พระเจดีย์ที่มีความสำคัญที่สุดองค์หนึ่งในเชียงใหม่
วัดเจดีย์หลวงสร้างอยู่กลางใจเมืองเชียงใหม่ ซึ่งแต่เดิมถือว่าเป็นศูนย์กลางทางการปกครองของอาณาจ ักรล้านนา ตั้งอยู่เลขที่ 103 ถนนพระปกเกล้า ตำบลพระสิงห์อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ มีเนื้อที่ภายในวัดประมาณ 32 ไร่ 1 งาน 27 ตารางวา
พระธาตุเจดีย์หลวงนั้นถือว่าเป็นพระธาตุที่มีความสูง ที่สุดในภาคเหนือ หรือล้านนา คือ สูงประมาณ 80 เมตร เมตร ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณด้านละ 60 เมตร ถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 20 ถือว่าเป็นเจดีย์ที่มีความสำคัญที่สุดของเมืองเชียงใหม่
วัดพระสิงห์ หรือ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ในบริเวณคูเมืองเชียงใหม่ ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วัดพระสิงห์ฯ เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ เป็นประดิษฐานพระสิงห์ (พระพุทธสิหิงค์) พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่และแผ่นดินล้านนา พระพุทธรูปเป็นศิลปะเชียงแสนรู้จักกันในชื่อ “เชียงแสนสิงห์หนึ่ง”
ผมอยู่เชียงใหม่ 2 คืน หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางต่อไปยังเชียงราย เพื่อไปยัง อ. แม่สาย เชียงรายเหนือสุดของประเทศไทย เพื่อเดินทางข้ามยังท่าขี้เหล็กประเทศพม่า
ระหว่างการเดินทางผมได้หาข้อมูลทาง Internet เพื่อหาห้องพักแล้วผมก็จะเจอ โรงแรมในแบบ Hip Hotel ห้องพักราคาไม่แพงครับ คืนละ 590 บาทเองรวมอาหารเช้า ลองดูรายละเอียดได้ที่ http://www.afterglowhostel.com/ ใครมาแม่สายแนะนำโรงแรมนี้เลยครับ
ผมข้ามยังฝั่งพม่า ตรงท่าขี้เหล็กเราก็จะเจอสามล้อพาไปเที่ยวรอบๆเมืองท่าขี้เหล็ก คนขับบอกผมว่าได้ไป เจดีย์ชเวดากองโอ๊วววววแม่เจ้า ผมก็ไปสิครับอิอิ คราวนี้ตรูได้รูปจากพม่าไปโม้ชาว PNP แล้ว อิอิ
เรามาถึง เจดีย์ชเวดากอง ผมแปลกใจจังว่าทำมันเล็กจังได้คำตอบมาว่ามันเป็น เจดีย์ชเวดากอง จำลองมาจากของจริง
ถึงจะเป็นจำลองก็ดีกว่าไม่ได้ไปเลย อิอิ
หลังจากพักที่แม่สายแล้ว ผมก็นั่งรถจากแม่สายเข้ามาพักที่ตัวเมืองเชียงราย เพราะวันรุ่งขึ้นต้องนั่งเครื่องไปยัง กรุงเทพเพื่อไปสมทบกับพวกที่ไปพม่าเพื่อเดินทางกลับมายังภูเก็ต
ภาพที่เห็นอยู่นี่เป็นวงเวียนหอนาฬิกาที่สวยงามเป็นอ ย่างมากของเมืองเชียงรายรู้สึกว่าจะออกแบบโดย อ. เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ตอนกลางคืนจะมีการแสดง แสง สีเสียง ด้วย
จบด้วยรูปนี้น่ะครับ …….
หมวดหมู่:ท่องเที่ยวทั่วไทย
ภาพสวยงามไม่ผิดหวังจริงๆ ครับ
ยอดเยี่ยมทุกรูป
เหมือนสั่งสภาพแสงได้เท่ากันทุกสถานที่ ทุกใบ เลยครับ
เจ๋งงงง
ถูกใจถูกใจ
ขอบคุณครับ น่าสนใจมาก
ถูกใจถูกใจ
รูปแจ่ม สวยทุกรูปเลยครับ
ถูกใจถูกใจ
รูปสวยมากๆ อยากทราบว่าใช้กล้องยี่ห้ออะไรครับ ช่วยบอกให้ด้วยนะครับ
กำลังจะหาซื้ออยู่แต่ไมรู้ว่าจะเล่นรุ่นไหนดีครับ ขอบคุณครับ
ถูกใจถูกใจ
ผมใช้ นิคอน D90 ครับ
ถูกใจถูกใจ